คนจำนวนมากของสังคมไทยในเวลานี้ แม้กระทั่งผู้นำทางการเมืองจำนวนไม่น้อย มองปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองของไทยที่มีกลุ่มคนใส่เสื้อสีต่างๆ
อยู่หลายสีจนใกล้เกือบจะครบรุ้งเจ็ดสีอยู่แล้ว ว่าเป็นเพียงแนวคิดความขัดแย้งทางการเมืองที่คิดเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะคนในรัฐบาลด้วยแล้ว เห็นปัญหานี้เป็นเพียงการต่อสู้เรียกร้องเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณกับพวกที่ต่อต้านทักษิณ มุมมองของปัญหาที่แคบมากเช่นนี้ รังแต่จะสร้างให้ความแตกแยกร้าวลึกและกว้างขวางมากขึ้น และจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงจนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองในอนาคต
หากจะมองย้อนหลังไปราวสิบปี หลังจากที่บ้านเมืองผ่านภาวะวิกฤตจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาได้ รัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างมาจากตัวแทนประชาชน
ได้นำพาประชาธิปไตยมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง จนเกิดยุคประชาธิปไตยนายทุนอีกรอบ แทนประชาธิปไตยนายทหารที่ปกครองสังคมไทยมายาวนาน คนไทยจำนวนมากไม่เพียงแต่ชาวบ้านรากหญ้า แม้กระทั่งอดีตผู้ร่วมอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ไปจนถึงปัญญาชน
ดารา นักร้อง ฯลฯ เกิดหลงใหลและเสพติดกับแนวคิดการเมืองแบบเศรษฐกิจนำการเมือง ประชานิยมสมัยใหม่สร้างความพอใจอย่างมากให้กับคนจำนวนมาก การส่งเสริมการบริโภคแบบไม่ต้องอดออม “ยอมเป็นหนี้ดีกว่าไม่มีเงินใช้ “ กลายเป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติของประชาชนคนไทย ที่ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้วกลับไม่ทำตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง นักธุรกิจ ชนชั้นกลาง ชาวบ้าน จำนวนไม่น้อยได้รับผลประโยชน์ผลพลอยได้จากเศรษฐกิจฟองสบู่ที่เติบโตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
(ซึ่งผมเคยเรียกว่าเศรษฐกิจแบบส้มโอเน่า) ความศรัทธาและเชื่อมั่นในนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อโรแมนติคมากในชื่อ
พรรคไทยรักไทย (ชื่อพรรคการเมืองเดียวในโลกที่ไม่เหมือนใครเช่นเดียวกับอีกหลายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งผมก็ตอบเพื่อนชาวต่างประเทศไม่ได้ว่าหมายถึงอะไร) ได้สร้างคะแนนนิยมจำนวนมหาศาลในหมู่ประชาชนคนไทย สร้างความตื่นตระหนกและตกตะลึงแก่นักการเมืองรุ่นเก่าที่ไม่เคยคิดวิธีการใหม่ๆ และจ้องแต่จะกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศชาติโดยลืมหาเสียงกับรากหญ้า เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่านโยบายเศรษฐกิจจะสำคัญกว่านโยบายทางการเมือง เพราะเศรษฐกิจเป็นตัวนำทางการเมืองมาตลอดในประวัติศาสตร์โลก และนักเรียนนักศึกษาไทยก็ไม่เคยมีใครคิดเช่นนี้ เพราะการเรียนประวัติศาสตร์แบบครูไม่ฉลาดพยายามสอนให้เด็กฉลาด
ณ วันนี้คงปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า รอบตัวเรามีคนที่คิดแตกต่างกันอย่างมากอยู่สองขั้วใหญ่ๆ มันคือขั้วไฟฟ้าที่ต่างประจุและไม่มีทางสามารถต่อสายสองขั้วนี้เข้าหากัน เพราะต่อกันทีไรก็ช็อตทุกที เหมือนดังเช่นปาหี่การเจรจาหาทางออกร่วมกันระหว่างผู้นำนปช.กับผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมา สิ่งที่น่าวิตกอย่างยิ่งในเวลานี้คือ การมองของผู้นำรัฐบาลที่เห็นว่ามวลชนคนเสื้อแดงนั้นเป็นเพียงผู้ถูกยุยงปลุกปั่นให้มาร่วมชุมนุม โดยมีขบวนการก่อการร้ายแฝงอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง แล้วพยายามยัดเยียดตำแหน่งหัวหน้าผู้ก่อการร้ายให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่มีเงินมหาศาลและมีผู้ให้การสนับสนุนจำนวนมาก เช่นเดียวกับมิสเตอร์บินลาดิน ที่รัฐบาลอเมริกันพยายามไล่จับมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลสักที
ผมเป็นคนชอบสังเกตและชอบสอบถาม บางครั้งก็แอบดูหรือแอบฟังสิ่งที่คนอื่นเขากระทำหรือสนทนากัน โทรทัศน์วิทยุก็เปิดฟังทุกวันโดยไม่เลือกว่าเป็นของฝ่ายใด และบังเอิญว่าผมได้ย้ายที่ทำงานจากจังหวัดสีเหลืองมาสู่จังหวัดสีแดง จากที่เดินผ่านไปร้านค้าบ้านไหนได้ยินแต่เสียงโทรทัศน์ช่อง ASTV ก็กลายเป็น People channel แทน วันไหนออกไปนอกเมืองแม้กระทั่งเข้าไปในหุบเขาถิ่นที่อยู่ชาวเขาก็เห็นแต่ชาวบ้านเปิดวิทยุสถานีคนรักเชียงใหม่51 หรือโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของเสื้อแดง เข้าไปในตลาดไม่ว่าตลาดไหนก็ได้ยินแต่แม่ค้าเปิดฟังวิทยุเสื้อแดงตั้งแต่เช้ายันดึก บ้านชาวบ้านไม่น้อยถึงกับชักธงแดงหน้าบ้าน นี่หากย้อนหลังไปสามสิบปีคงโดนจับข้อหาคอมมิวนิสต์ไปนานแล้ว หันกลับมามองเพื่อนพ้องญาติมิตร ก็ต้องยอมรับว่าผมมีเพื่อนที่เรียนเก่งกว่าผมอยู่มากมาย บ้างทำงานด้านคอมพิวเตอร์ บ้างเป็นเจ้าของกิจการ
บ้างเป็นเภสัชกร ฯลฯ ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เห็นชัดว่าต่อต้านรัฐบาลและอยากให้คุณทักษิณกลับมาบริหารประเทศชาติ แม้ว่าจำนวนที่มากกว่าจะออกไปทางสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลืองเข้ม แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่แดงอ่อนถึงแดงเข้มก็ไม่ใช่แค่ชาวบ้านรากหญ้าธรรมดาเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับผู้คนที่ร่วมชุมนุมกับ นปช.
เวลานี้ที่มีทั้งผู้นำทางการเมือง นายทหาร พระ ดารานักร้อง นักธุรกิจ ผู้นำชุมชน
ชาวบ้านไม่ว่าชาวไร่ชาวนา กรรมกร ผู้หาเช้ากินค่ำ ฯลฯ
การมองปัญหาแบบไม่ลึกและไม่ครอบคลุมนี้ อาจทำให้มองข้ามความจริงหลายประการที่สำคัญไป ความแตกแยกทางความคิดในบ้านเมืองไทยเวลานี้ แม้หลักของความคิดผู้คนในบ้านเมืองอาจจะไม่แจ่มชัดเช่นเดียวกับสมัยการต่อสู้อุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา แต่เนื่องจากระยะเวลาการก่อเกิดความขัดแย้งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว ไม่เคยมีใครรู้จริงว่าผู้ที่สนับสนุนแนวคิดคอมมิวนิสต์มีกี่คน ก็คงเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงที่แท้จริงมีกี่คน (หมายถึงคนที่ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้นำเสื้อแดงเท่านั้น) การขัดแย้งในสิ่งที่เป็นความเชื่อของคนในสังคมนั้น บางเรื่องอาจใช้เวลาไม่นานก็จางหายไป และบางเรื่องก็ไม่มีอะไรมาทำให้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้นสามารถหลอมรวมกันได้เลย
จนกว่าคนที่เชื่อต่างกันจะหมดลมหายใจไปเอง อาทิเช่น คนที่เชื่อในพระเจ้า คนที่เชื่อในอุดมการณ์ คนที่เชื่อในวีรบุรุษในดวงใจของเขา ฯลฯ และสำหรับกรณีนี้นั้น ผมกลับมองไม่เห็นว่าจะหายไปได้อย่างไรและเมื่อไร เพราะ
1. กลุ่มเสื้อแดงเวลานี้มีฐานสนับสนุนทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศ เราต้องไม่ลืมว่าเสื้อแดงก็คือไทยรักไทย ไทยรักไทยก็คือพลังประชาชน
และชื่อพลังประชาชนก็บอกโดยนัยแล้วว่าต้องการให้มีประชาชนเป็นผู้ให้การสนับสนุนจำนวนมาก จังหวัดที่มีฐานเสียงเข้มแข็งมีอยู่มากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและอีสาน ซึ่งคือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หากคุณเป็นคนกรุงเทพฯและไม่เคยออกมาสัมผัสกับชนบท คุณจะรู้ได้อย่างไรครับว่าพลังประชาชนมีจำนวนเท่าใด นี้ก็คือปัญหาเดียวกับสมัยปราบคอมมิวนิสต์ที่ทำอย่างไรก็ไม่มีทางปราบหมด และที่เหลือเชื่อว่าคล้ายกันก็คือ การมีผู้นำร่วม
แกนนำ ครอบคลุมไปทั่วประเทศ และคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงคนที่มากด้วยประสบการณ์และความสามารถ แถมยังมีการสนับสนุนจากคนไทยในต่างประเทศอีกด้วย จนแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศก็แอบเชียร์กลุ่มคนเสื้อแดง
2. การสร้างความโกรธแค้นให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เราท่านคงจำกันได้กับประโยคที่ว่า “คอมมิวนิสต์
ยิ่งปราบก็จะยิ่งเกิด” การกระทำที่ผ่านมาของผู้นำในบ้านเมืองที่ยอมให้มี “สองมาตรฐาน” ได้กลายเป็นการสร้างความไม่ยุติธรรมและเกิดความโกรธแค้นในหมู่ผู้ที่สนับสนุนคนเสื้อแดง ยิ่งการออกมาพูดในเชิงยั่วยุหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทำให้ความขัดแย้งของความคิดได้พัฒนาความขัดแย้งยกระดับเข้าสู่ความขัดแย้งอารมณ์ การออกมาโจมตีซึ่งกันและกันแบบไม่ให้เกียรติ ไปจนถึงแนวคิดการตีให้ตายหรือตีหมาจนตรอก การเล่นเกมส์การเมืองโดยคำนึงถึงแต่การรักษาอำนาจและผลประโยชน์ ย่อมไม่มีทางจะหาทางสมานฉันท์ได้ จนถึงวันนี้น่าจะเป็นวันที่คำว่า “สมานฉันท์” และ “เจรจา” น่าจะทำได้ยากมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสูญเสียชีวิตหรือพิการเกิดขึ้นจากการชุมนุม ย่อมจะทำให้ญาติมิตรของผู้สูญเสียจ้องแต่จะล้างแค้นให้ได้ เว้นเสียแต่จะมีวิธีการเยียวยาความรู้สึกที่ยากเหลือเกินที่จะทำได้ผล
3. การเข้าร่วมวงไพบูลย์ของผู้อยู่เบื้องหลังสีต่างๆ จากประชาชน ปัญหานี้หากไม่ศึกษาให้ถ่องแท้แล้ว หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ว่าเสื้อสีใดก็ตาม สามารถทำการชุมนุมได้ครั้งละนานๆ หรือจัดแบบต่อเนื่องได้ แม้กระทั่งกลุ่มคนเสื้อแดงที่รัฐบาลปรามาสมาตลอดว่าคงจะชุมนุมได้ไม่กี่วันก็คงจะต้องเลิกกันไปเอง และชอบไปโทษว่ามีเพียงท่อน้ำเลี้ยงใหญ่จากดูไบส่งลอดใต้ทะเลทรายมายังเมืองไทย อันที่จริงแล้วหากสำรวจให้ดีจะพบว่า คนที่สนับสนุนโดยศรัทธาและเชื่อมั่นในความตั้งใจดีของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีอยู่มากทีเดียว ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของคนกรุงเทพฯและผู้นำรัฐบาลอย่างมาก เพราะมีทั้งคนเฒ่าคนแก่ แม่ค้า ข้าราชการ ประชาชน ฯลฯ จำนวนไม่น้อยที่ให้การสนับสนุนเสียสละเงินทอง อาหาร ฯลฯ ส่งไปช่วยผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ข้าวเหนียว น้ำพริก ผัก ผลไม้ ยารักษาโรค ฯลฯ จำนวนมากเป็นพลังศรัทธาของประชาชนที่ส่งไปสนับสนุนช่วยเหลือ รายงานแบบนี้ผมไม่ทราบว่าเคยมีส่งถึงนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนใดหรือไม่ครับ
? เช่นเดียวกัน ในครั้งที่มีม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบหรือปิดสนามบิน ผมได้เห็นนักธุรกิจระดับร้อยล้านจำนวนไม่น้อย ที่ไปร่วมชุมนุมหรือส่งเงินทองสิ่งของไปให้ด้วยบริสุทธิ์ใจเช่นกัน คนเหล่านี้ไม่ว่าฝ่ายเสื้อสีไหน ในจิตใจส่วนลึกแล้วเขาหวังดีต่อประเทศชาติ แต่กลับถูกผู้ที่ไม่เห็นด้วยว่าร้ายป้ายสีไปต่างๆนานา
4. นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ
มีส่วนสนับสนุนเพราะมีส่วนได้เสีย การดำเนินกิจกรรมการเมืองใดๆ หากเป็นของพลังประชาชนล้วนๆ แล้ว มักจะถูกปราบปรามได้โดยง่าย เพราะผู้ร่วมกิจกรรมก็มักมีความหวาดกลัว และการข่าวก็จะไม่ทันหากจะมีการล้อมจับหรือปราบปราม เราทุกคนทราบกันดีว่า ส.ส.ที่อยู่ในสภาเวลานี้เกือบครึ่งหนึ่งอยู่ฝ่ายเสื้อแดง นักการเมืองหนึ่งคนย่อมมีประชาชนที่เป็นฐานเสียงไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ดังนั้น หากเพียงแค่กดเครื่องคิดเลขดูก็จะเห็นว่ากลุ่ม
นปช.นั้น ยิ่งใหญ่กว่ากลุ่มพันธมิตร หรือกลุ่มพลังประชาชนที่ผ่านมาเพียงใด สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าข้างนักการเมืองขั้วเดิมก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ก็คงเป็นจริงอย่างที่ผู้นำเสื้อแดงกล่าวว่า มีทหารไม่น้อยที่เป็นทหารแตงโม
(เปลือกเขียวเนื้อในแดง) หรือที่ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองกล่าวว่า
มีทหารบางส่วนเป็นทหารสัปปะรด (เปลือกเขียวเนื้อในเหลือง) คนเหล่านี้รวมไปจนถึงผู้นำชาวบ้านที่สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของคนเสื้อแดง ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกับผลสำเร็จในการเคลื่อนไหว ซึ่งผลประโยชน์บางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายด้วยซ้ำไป มันก็เช่นเดียวกับชาวยุโรปหรืออเมริกันที่สนับสนุนพรรคการเมืองในดวงใจของตน และหากพรรคที่ตนสนับสนุนได้เป็นผู้บริหารประเทศ ผลประโยชน์ก็จะตกแก่กับกลุ่มของตนมากกว่าการไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ แต่สิ่งที่น่าวิตกก็คือ ความขัดแย้งนั้นมีอยสาเหตุอยูู่่สามประเภท
คือ หนึ่งขัดแย้งเพราะหลักการ (คิดไม่เหมือนกัน ยังรอมชอมหรืออยู่ร่วมกันได้) ,
สอง ขัดแย้งเพราะอารมณ์ (ไม่ถูกขี้หน้ากัน เกียจกัน
ซึ่งเวลานี้เป็นมากแล้ว หากคุณได้ฟังว่าเขาด่ากันอย่างไร
รุนแรงขนาดไหน ก็จะเห็นเองว่ายากสุดๆ ที่จะกลับหันหน้าเข้าหากัน), สาม ขัดแย้งเพราะผลประโยชน์ (ถ้าชนะ ก็ได้ประโยชน์ ถ้าแพ้ ก็ต้องเสียประโยชน์หรืออาจโดนแกล้งคืน
จึงไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกันได้ นอกจากผลประโยชน์แอบแฝงทั้งหลายต้องหมดสิ้นไปก่อน หรือหาทางประนีประนอมผลประโยชน์กันได้อย่างลงตัว) ดังนั้น ความขัดแย้งเวลานี้จึงผสานไปด้วยทั้งสามส่วนโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อให้ใครที่ไหนก็คงยากที่จะช่วยประสานได้
5. การเล่นการเมือง และสำนวนโวหารของนักการเมือง เป็นเรื่องน่าเศร้าและโชคร้ายอย่างยิ่งของประเทศไทย ที่มีนักการเมืองจำนวนมากที่ฝีปากดีแต่ทำงานไม่ได้เรื่อง การพยายามสร้างภาพที่ดีให้แก่ฝ่ายตนแล้วหาความผิดความเลวคนอื่นมาเปิดเผย กลายเป็นงานหลักของนักการเมืองไทย การพยายามเจรจากันเป็นเพียงการสร้างภาพหลอกประชาชนว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายที่ต้องการสันติ แต่ไม่ได้พยายามหาทางออกอย่างแท้จริง สำหรับพรรคแกนนำรัฐบาล ก็ได้แต่พยายามวางเกมส์เพื่อรักษาฐานอำนาจและอยู่เป็นรัฐบาลให้จนจัดงบประมาณปีหน้าแล้วเสร็จ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล
ก็พยายามเดินเกมส์ต่อรองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ตามที่ตนเองต้องการ ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็ต้องการให้ยุบสภาเร็วที่สุดเพียงเพื่อมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลเสียเอง ทุกฝ่ายจึงต้องพยายามสร้างหรือสลายการชุมนุม โดยไม่เคยคิดว่าประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมชุมนุมเพราะเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจ
(สังเกตจากนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ผู้ร่วมชุมนุม มีไม่น้อยที่เป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ และเดือดร้อนจากการหารายได้ไม่พอใช้จ่าย
ไม่ว่าจากการค้าขายฝืดเคืองหรือจากการทำเกษตรที่ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า จึงอยากให้มีการเปลี่ยนรัฐบาล ไปจนถึงอยากให้คุณทักษิณกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง)
6. ความยากจนและความไม่เสมอภาคทางชนชั้นที่มีมากขึ้น การที่มีประชาชนคนรากหญ้าเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมากนั้น จำนวนหลักไม่น่าจะมาจากการจ้างวานตามคำกล่าวหาของฝ่ายรัฐบาล และนับวันความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ยิ่งนับวันจะมากขึ้น คนจนตามคำจำกัดความของรัฐบาลดูเหมือนจะมีจำนวนไม่มาก เพราะไปกำหนดตัวเลขวัดไว้ที่รายได้ต่ำมาก แต่ความจริงก็คือในเวลานี้ผลผลิตการเกษตรมีปัญหามากทั้งทางด้านปริมาณผลผลิตและราคา และธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่ไปไม่รอดก็มีมากมาย เกิดปัญหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายและคนเป็นหนี้มาก ซึ่งผู้นำในการชักชวนคนให้มาร่วมชุมนุมก็รู้ถึงปัญหานี้ดี จึงได้อาศัยการโฆษณาชวนเชื่อแบบเดียวกับที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยใช้ ในการสร้างความหวังให้แก่ผู้เข้ามาร่วมชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง และใช้จิตวิทยาทางการเมืองสร้างภาพการต่อสู้ให้เป็นการต่อสู้ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ นี่ยังดีที่ยังไม่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างศักดินาชนชั้นทางสังคม ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับสังคมไทยด้วยซ้ำ แต่ก็เริ่มมีการกล่าวถึงบ้างแล้วในระหว่างการปราศรัยชุมนุมของผู้นำชุมนุมบางคน
แนวความคิดของผู้นำรัฐบาลหรือเหล่าทัพบางคน อาจคิดว่าการสลายการชุมนุมจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ เป็นแนวคิดที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะเป็นการมองปัญหาแบบภูเขาน้ำแข็ง คือเห็นเพียงส่วนที่โผล่ลอยน้ำขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดล้วนอยู่ใต้น้ำ หากจะคิดย้อนหลังมองประวัติศาสตร์ไทยด้วยแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่ากงล้อประวัติศาสตร์ได้หมุนกลับมาครบรอบอีกครั้ง เพียงแต่วันเวลาและสถานที่ตลอดจนตัวละครได้เปลี่ยนไป ประชาชนนิสิตนักศึกษาที่เคยถูกล้อมปราบในเหตุการณ์นองเลือดหกตุลา เพราะคนไทยจำนวนมากในเวลานั้นเชื่อว่า
พวกเขาคือคอมมิวนิสต์และมีทหารชาวณวนอยู่ร่วมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แม้กระทั่งมีอาวุธอยู่ภายในมหาวิทยาลัย โดยการปลุกปั่นของสถานีวิทยุและสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง และคนที่เป็นพระคนหนึ่งที่ออกมาเทศนาว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะถูกปราบปราม ในวันนั้นมีผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียชีวิต
นักศึกษาบางคนถูกนำศพไปแขวนคอใต้ต้นมะขามโดยมีคนไทยจำนวนมากโห่ร้องดีใจอยู่รอบสนามหลวง
ปัญหาเวลานี้ จึงไม่น่าจะเป็นเพียงปัญหาทางการเมืองที่ต่างขั้วทางกลุ่มผลประโยชน์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นถึงแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการแก้วิกฤตและนำพาเศรษฐกิจของไทย คล้ายๆ กับความขัดแย้งระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมแฝงอยู่ด้วย เพราะคนที่ชอบนโยบายตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ก็ยังเชื่อมั่นและอยากให้ใช้นโยบายและผู้นำแบบนั้นอยู่ โดยไม่มองว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและตัดสินคดีอะไรมาอย่างไร เพราะอะไร กลายเป็นความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผู้นำในดวงใจของเขา และมีคนจำนวนนับแสนนับล้านที่เชื่อมั่นในนโยบายที่ผ่านมาของคุณทักษิณ อย่างไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความเชื่อหรือแนวคิดของเขาได้เลย
สำหรับฝ่ายที่ต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้อาจจะเกิดจากความเดือดร้อนหรือเริ่มเบื่อหน่ายข่าวการชุมนุม ซึ่งเป็นข่าวทุกวันทุกเวลาแบบเดียวกับก่อนเกิดเหตุการณ์หกตุลา จนทำให้มีคนจำนวนหนึ่งอยากให้ขบวนการนักศึกษาล้มหายตายจากไปจากประเทศไทย
ผมได้แต่ภาวนาอย่าให้คนไทยวันนี้คิดต่อคนเสื้อแดงแบบเดียวกับคนไทยเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา มิฉะนั้นแล้ว จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ณ วันนี้ เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลเช่นเดียวกันกับเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์หกตุลา
เพียงแต่ชื่อนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนไป และกลุ่มกระทิงแดงก็เปลี่ยนไปเป็นกลุ่มเสื้อแดง
ผู้คนในสังคมไทยก็ได้แบ่งเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ อย่างชัดเจน
โดยที่ไม่ฟังเหตุผลและข้อเท็จจริงของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่นเดียวกับฝ่ายนักศึกษาและฝ่ายต่อต้านนักศึกษาในเวลานั้น ผมจึงขอเรียกร้องวิงวอนให้ท่านนายกรัฐมนตรี
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการชุมนุม อย่ายึดมั่นในผลประโยชน์ของคณะผู้ร่วมเป็นรัฐบาล ขอให้ตัดสินใจโดยความรอบคอบปราศจากอคติ มองโลกและมองคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในแง่ดีขึ้น ป้องกันภัยจากมือที่สามอย่างเต็มความสามารถ มิฉะนั้นแล้ว พฤษภานี้ก็จะเป็นพฤษภาทมิฬอีกครั้งสำหรับประเทศไทย แล้วความขัดแย้งอันเนื่องมาจากแนวคิดที่ต่างกันทางการเมืองและเศรษฐกิจครั้งนี้
ก็จะนำไปสู่การห้ำหั่นกันเองในหมู่ประชาชนเฉกเช่นสงครามกลางเมืองในรวันดา
เหตุผลที่คนไทยรักในหลวง
ตอบลบมีมากมายเกินกว่าจะบรรยายแต่ถ้าจะให้พูดสั้นก็ น่าจะเป็นเพราะพระองค์ท่านทรงเป็นผู้ให้ "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก" และทรงเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ที่สุดยาก ที่จะหาบุคคลใดเทียบได้ โดยเฉพาะทรงมีทศพิธราชธรรม
ในการปกครองอาณาประชาราษฎร์ ดังพระราชดำรัสที่ทรงตรัสว่า…
"เราจะครองแผ่นโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแด่มหาชนชาวสยาม”
ขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป /ข้าราชการโรงเรียเสนาธิการทหารบก