เรื่องที่ 6 ความขัดแย้งทางศาสนาและแนวทางแก้ไข
ทำไมต้องมีศาสนา
ในปัจจุบัน มีคนกล่าวกันมากมาย
ว่าศาสนาไม่จำเป็นสำหรับชีวิตเนื่องด้วยปัจจุบันมีสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากมายไม่ว่าจะเป็นทางชีววิทยาก็ดี
ทางสังคม เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เทคโนโลยี มนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งศาสนาอีกต่อไป
แต่ความจริงแล้ว โดยทั่วไปแล้วคนกับศาสนาไม่สามารถแยกออกจากกันได้
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมชนิดหนึ่ง ถ้าเทียบกับธรรมชาติแล้วเป็นเพียงสัตว์ตัวนิดเดียว
ไม่สามารถจะสู้รบตบมือกับพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้
เช่นแผ่นดินไหว พายุใหญ่ น้ำท่วม
โรคระบาด
มนุษย์จะรู้สึกว่าตนไร้ความหมาย
พึ่งตนเองก็ไม่ได้
พึ่งกันเองก็ไม่ได้
มนุษย์จึงมองหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตอบสนองความต้องการของตนเอง ที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือกฎธรรมชาติ และสามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจได้ และศาสนาคือที่พึ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์
เป็นที่ให้ความหวัง และกำลังใจ
ในการต่อสู้กับความโหดร้ายของพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
ประเภทของศาสนา
แต่อย่างไรก็ดี ศาสนาในโลกนี้ก็มีมากมาย โดยมีศาสนาหลักที่คนเรารู้จักจำนวนมากเช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ ฯ
แต่ละศาสนาก็มีความแตกต่างกันอีกมากมายหลายด้านแต่นักปราชญ์ทางศาสนาได้สรุปศาสนาในโลกไว้
2 ประการดังนี้ คือ
1. ศาสนาเทวนิยม (Theism ) คือศาสนาที่มีเทพเจ้า
นับถือบูชาพระเจ้า
หรือเทวดาคือสิ่งสูงสุด บางศาสนามีเทพเจ้าหลายองค์
มนุษย์จะต้องอ้อนวอน บูชาบวงสรวง ทำให้เทพเจ้าพอใจจึงจะเกิดผลสำเร็จแก่ตนเองได้
เช่นพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ คือ ฮินดู
บางศาสนามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวคือ
ยูดาย คริสต์ อิสลาม
ที่มีความเชื่อขั้นมูลฐานอยู่ว่า
ในเอกภพนี้มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียวที่เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง พร้อมกับดูแลสรรพสิ่งบนโลกและสามารถที่จะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังมีพระคัมภีร์ในศาสนาคริสต์กล่าวว่า “ แม้แต่นกกระจอกตัวน้อยตกลงมาตายก็ไม่รอดจากสายตาของพระองค์
” มนุษย์ที่มีปัญญาเพียงกระจิดริดจะรู้อะไรที่ลึกซึ้งทางศาสนาได้
จะรู้ได้ต้องอาศัยความกรุณาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นจึงจะรู้ได้
2. ศาสนาอเทวนิยม (Atheism) คือศาสนาที่ไม่นับถือเทพเจ้าว่าเป็นสิ่งสูงสุด
ไม่ส่งเสริมการอ้อนวอน บวงสรวง บนบานแก่เทพเจ้า และไม่เชื่อว่าเทพเจ้ามีจริง อันได้แก่ ศาสนาพุทธ และ ศาสนาเชน โดยมีหลักความเชื่ออยู่ว่า ความจริงทุกระดับทุกชนิดมีอยู่โดยตัวของมันเองตามธรรมชาติ ไม่มีเทพเจ้าผู้สร้าง เทพเจ้าผู้ทำลาย เทพเจ้าผู้รักษา
แต่สรรพสิ่งความดีความชั่วอยู่ที่การกระทำของมนุษย์เอง
มนุษย์จะอยู่รอดต้องอยู่ในกฎของเหตุ และ
ผล เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง
ความแตกต่างทางศาสนาบางประการอันเป็นที่มาแห่งความขัดแย้ง.
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้มนุษย์รักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างสงบ ไม่ให้เบียดเบียนกัน ศาสนาคริสต์สอนให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ศาสนาพุทธสอนให้ รักทุกคนดุจแม่รักลูกน้อยของตนเพราะความรักเมตตาคือธรรมค้ำจุนโลกและสังคม ศาสนาอิสลามสอนว่า จงอย่ากินอิ่มแล้วปล่อยให้เพื่อนบ้านหิวโหย
แต่ทั้ง ๆ
ที่ศาสนาสอนให้รักกัน
แต่ก็ยังมีศาสนิกของศาสนาต่าง ๆ กลับเกลียดชังกัน สงสัยหวาดระแวง ด่าประณามซึ่งกันและกัน
ในที่สุดก็นำไปสู่การเบียดเบียนเข่นฆ่ากันในนามของศาสนา เบียดเบียน เข่นฆ่าเพื่อพระเจ้าของตน
แม้แต่ในศาสนาเดียวกันก็ยังมีความขัดแย้งกันเอง
ปัญหาคนเกลียดกันเพราะศาสนา
เป็นเรื่องที่มีมานานแล้วและเป็นปัญหาของนักศาสนศาสตร์ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น สงครามศาสนาบางแห่งแม้จะยุติไปแล้ว แต่ในปัจจุบันหาได้ยุติอย่างสิ้นเชิงไม่
โดยความขัดแย้งอาจจะมาจากหลายสาเหตุแต่จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์ของศาสนาต่าง ๆ
เราจะพบความจริงว่าไม่มีศาสนาใดในโลกนี้ที่ไม่มีการแตกแยกนิกายเป็นลัทธินิกายต่าง
ๆ โดยมีเหตุผลหลายประการดังนี้
1. ความแตกต่างทางพิธีกรรม เนื่องด้วยพิธีกรรมเป็นองค์ประกอบหนึ่งของศาสนาทุกศาสนาต้องมีพิธีกรรมแต่ก็มีความแตกต่างทางพิธีกรรมที่ อีกศาสนาหนึ่งส่งเสริม อีกศาสนาหนึ่งคัดค้าน
เช่นศาสนาฮินดูในยุคสมัยเดียวกันกับพระพุทธองค์ส่งเสริมการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ
แต่พระพุทธศาสนากลับเห็นขัดแย้งกันว่าการฆ่าสัตว์บูชายัญไม่มีผลต่อผู้กระทำพิธีบูชายัญ มีแต่จะทำให้เกิดการฆ่ามากขึ้น
หรือชาวพุทธมีพุทธรูปเป็นรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า แต่สำหรับชาวมุสลิม ห้ามมีรูปเคารพใด
ๆไว้บูชาแทนพระผู้เป็นเจ้าดังที่เกิดเหตุการณ์ในอัฟกานิสถาน ใช้ปืนยิงพระพุทธรูปที่มีอายุพันกว่าปี
ให้แตกสลายและแพร่ภาพทางโทรทัศน์ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกโศกาดูรอย่างยิ่งโดยเฉพาะชาวพุทธที่มิเคยไปทำร้ายน้ำใจคนอัฟกานิสถานเลย
2. ความแตกต่างทางความเชื่อ แน่นอนที่สุดความเชื่อเป็นสิ่งที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรือขัดแย้งกันได้ในเมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเช่นความเชื่อของคาทอลิก
เชื่อว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้แทนพระเจ้าในโลกมนุษย์คำสั่งของสันตะปาปาคือคำสั่งของพระเจ้า แต่ชาวโปเตสแตนท์ กลับรับไม่ได้และยอมรับไม่ได้
หรือความแตกต่างของชาวพุทธเชื่อว่าการจุดธูปเทียนบูชาพระและการเจริญวิปัสสนาเป็นมงคลต่างกับชาวคริสต์บางกลุ่มกลับเชื่อว่านั่นคือสาเหตุที่เปิดช่องทางให้ผีเข้าได้
3. ความแตกต่างทางเชื้อชาติและผิวพรรณ ความแตกต่างทางเชื้อชาติและผิวพรรณเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์ เช่นคนผิวขาวมองคนผิวดำเป็นเพียงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแรงงาน ไม่ได้เป็นคนเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่ง หรือการแบ่งชนชั้นทางสังคมเช่นระบบวรรณะในอินเดียแม้โดยนิตินัยจะหมดไปแต่โดยพฤตินัยก็ยังคงมีอยู่
การการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวในเยอรมันในสมัยของอะดอฟฮิตเลอร์ก็ดี
หรือสมาคม คู คลักซ์ แคลน
ที่มีในยุโรปที่ดูถูกคนผิวดำโดยใช้ศาสนาเป็นตัวนำหน้าเหมือนกัน
4. ความแตกต่างทางด้านคำสอน คำสอนอันเป็นหลักการประพฤติปฏิบัติ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในชุมชนนั้น ๆ
เช่นพระเยซู
ได้ถือกำเนิดในดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงโรม ได้ปฏิวัติคำสอนของชาวโรมจากที่มีเทพเจ้า
ที่มีมากมายมีเทพประจำวัน ประจำแม่น้ำ
เจ้าที่ ฯ แต่พระองค์กลับ
ประกาศศาสนาว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในโลกคือพระยะโฮวา
อันเป็นการขัดคำสอนของคนในยุคนั้นอย่างเด่นชัดหรือพระพุทธศาสนาที่ปฏิเสธพระเจ้าถือว่าเป็นซาตานโดยอัตโนมัติ
5.
การนำศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้นำที่นำศาสนาเข้าสู่สนามรบมักจะทำให้ทหารหรือประชาชนที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาอย่างกระจ่างจริง
จึงตกเป็นทาสของผู้นำที่ใช้ศาสนาบังหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนได้โดยง่าย
หรือการเกรงกลัวการก่อกบฎที่มีสมาชิกทางศาสนาเป็นผู้นำดังเช่นรัฐบาลโรม
เกรงว่าการที่พระเยซูประกาศศาสนาใหม่และประสบความสำเร็จ
จะเห็นได้ว่าองค์กรทางศาสนาใด ๆ ถ้ามีผู้คนนับถือมากขึ้น จะถูกเล่นงานจากทางรัฐไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเช่นพระเยซูถูกจับตรึงไม้กางเขน หรือลัทธิฝ่าหลุนกงก็ดี ที่รัฐบาลจีนสั่งระงับ ท่านมหาตมคานธี
ได้กล่าวไว้ว่าการเมืองที่ปราศจากหลักธรรมเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด
6. การตีความหมายของคำสอนผิดเพี้ยนไปจากเดิม คำสอนทางศาสนาของศาสดาก็ดี หรือสารจากพระผู้เป็นเจ้าก็ดี กว่าจะมาถึงยุคปัจจุบัน ก็มีความหมายผิดเพี้ยนไปมากเช่นพระพุทธศาสนา
สองนิกาย คือมหายาน และเถราวาท
ที่มีการตีความหมายของหลักสูงสุดทางศาสนาคือพระนิพพานไปคนละด้านมหายานเชื่อว่าพระนิพพานคือดินแดนพุทธเกษตร
หรือดินแดนสุขาวดี มีพระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์องค์ต่าง ๆ สถิตย์อยู่ที่นั่น มีความสุขนิรันดร์ ส่วนฝ่ายเถราวาทเชื่อว่าพระนิพพานคือ สภาวะสิ้นกิเลสไม่มีไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ คอยเผารนจิตใจ คือความดับทุกข์
ไม่มีเกิดอีกแล้ว
7. ผลประโยชน์มหาศาลที่มาพร้อมกับความเลื่อมใสทางศาสนา ของสาธุชนในเมื่อศาสนา
มีศาสนิกผู้ที่ให้ความเลื่อมใสย่อมมีการบริจาคทรัพย์สินมีผลประโยชน์และขัดแย้งผลประโยชน์กันเอง ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ
8. การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของศาสนาอื่นที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ในสังคมไทยของเรามีความหลากหลายทางศาสนาไม่ว่าจะเป็น
ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม ชาวพุทธ
ถ้าไม่เปิดใจกว้างไม่ยอมรับความคิดเห็นของกันและกัน สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและไม่ยอมรับความคิดเห็นกันคือ ความแตกแยก ความขัดแย้ง
9. พวกที่คลั่งศาสนาแต่ไม่เคร่งศาสนา คนเหล่านี้เป็นคนที่อันตรายมากเนื่องด้วยคนเหล่านี้มักจะไม่ค่อยมีความรู้ทางศาสนาแท้จริง แต่มีความนับถือศาสนามากถึงกับต้องใช้คำว่าคลั่งคือคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้
มักจะถูกหลอกใช้ เป็นเครื่องมือจากผู้ที่อ้างนามหรือเอ่ยนามพระผู้เป็นเจ้าหรือศาสนาอยู่เสมอ
แนวทางแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนา
จากเหตุการณ์ต่าง
ๆ อันเป็นที่มาแห่งความขัดแย้งทางศาสนา ล้วนแต่มาจากการศึกษาศาสนาที่ไม่ถ่องแท้ นักการศาสนาควรจะมองเห็นความสำคัญของการศึกษาศาสนาอย่างจริงจัง
และหาแนวทางป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาอันจะเกิดขึ้นจากความแตกต่างหลายประการโดยมีวิธีที่พอจะหาแนวทางป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาได้ดังนี้
1. ไม่ศึกษาและนับถือศาสนาด้วยความลำเอียง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราศึกษาศาสนาโดยมีอคติเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมจะไม่เห็นแก่นแท้ของศาสนานั้น
ๆ อคติในที่นี้คือ
1.
ฉันทาคติ
ความลำเอียงเพราะชอบ
เข้าข้างศาสนาตัวเอง
2.
โทสาคติ
ความลำเอียงเพราะไม่ชอบ
มองเขาในแง่ไม่ดี
3.
โมหาคติ
ความลำเอียงเพราะความไม่รู้
มีแต่ความเชื่อย่างเดียวขาดปัญญา
4.
ภยาคติ
ความลำเอียงเพราะความกลัวขาดการไตร่ตรองที่ดี
ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี คำว่า มุสลิม แปลว่า
ผู้รักสันติหรือผู้นำสันติมาใช้ในการดำเนินชีวิต
คริสต์ศาสนาก็เช่นกันก็เป็นผู้รักสันติ
ไม่ต้องการการมีเรื่องกับใครดังคำที่ว่า “เมื่อเขาตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีกข้าง” แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราศึกษาจริยธรรมขั้นพื้นฐานของแต่ละศาสนาจะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลยดังเช่น บัญญัติ 10 ประการกับศีล 5 เป็นสิ่งไปด้วยกันได้
เป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีดังนี้
ศีลข้อ 1 ห้ามเบียดเบียน ฆ่าสัตว์ เป็นหลักประกันชีวิต
ศีลข้อ 2 ห้ามลักขโมยของที่เจ้าของเขาไม่อนุญาต เป็นหลักประกันทรัพย์สิน
ศีลข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม เป็นหลักประกันความสามัคคี
ศีลข้อ 4 ห้ามพูดปด กล่าวเท็จ เป็นหลักประกันศักดิ์ศรี
ศีลข้อ 5 ห้ามดื่มสุรายาเสพติด เป็นหลักประกันสุขภาพ
โดยจริยธรรมขั้นพื้นฐานแล้วจะสามารถโยงหากันได้เป็นอย่างดี.
2. ศึกษาศาสนาเพื่อรู้และเข้าใจความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก แน่นอนที่สุดทุกศาสนามีความแตกต่างกัน
ทางด้านพิธีกรรมก็ดี ทางด้านคำสอน
แต่ถ้าเราศึกษาเพื่อความเข้าใจและถึงแม้เราจะเห็นความแตกต่าง แต่เราไม่แสดงความแตกแยก ในความต่างย่อมมีความเหมือนอยู่เสมอ เพราะที่สุดของคนเราก็คือ ต้องการความสุข รังเกียจทุกข์ไม่ต้องการให้ใครดูถูกตัวเอง ดูถูกศาสนาที่ตัวเองเคารพ แม้กระทั่งในสนามรบก็ให้ความเคารพกับศาสนาอื่นเช่นบัญญัติในการรบของผู้ที่ได้รับชัยชนะชาวมุสลิมเขียนไว้ว่า
“จะต้องไม่เบียดเบียนพระหรือนักบวชในศาสนาอื่นใดก็ตาม และจะต้องไม่ทำลายศาสนสถานของศาสนาอื่น” ขอเราท่านทั้งหลายอย่าได้คิดแม้แต่น้อยเลยว่า หากเราศึกษาศาสนาของผู้อื่นแล้ว จะทำให้เราเสื่อมความเชื่อในศาสนาของเรา แต่นั่นคือการเปิดกว้างสำหรับการยอมสิ่งที่มีอยู่จริงอีกมิติหนึ่ง
ผู้ใดที่เข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนเองได้
ผู้นั้นย่อมจะเข้าถึงหัวใจของศาสนาอื่นได้เช่นเดียวกัน
3. จัดตั้งโครงการเพื่อศาสนสัมพันธ์ เพื่อความเข้าใจอันดีขึ้น ในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนา อาจจะให้มีการประชุมทางศาสนาทุก 1 เดือน
มีการเชิญวิทยากรของแต่ละศาสนามาอภิปรายหรือบรรยายในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อความสามัคคีเราสามารถที่จะอยู่รวมกันได้อย่างสันติ
อาจจะช่วยลดภาพลักษณ์บางศาสนาที่คนอื่นมองในแง่ไม่ดีให้มองในแง่ดีได้มากขึ้น
นักปราชญ์ทางศาสนาบางท่านยังมีโครงการที่จะรวมศาสนาในโลกเป็นศาสนาสากล แต่โดยความเป็นจริงแล้ว
ศาสนาก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและได้รับการดัดแปลงแก้ไขจากปัญญาของมนุษย์ เพื่อตอบสนองความต้องการศาสนาจึงมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เป็นประดิษฐกรรมของมนุษย์ โดยมนุษย์
เพื่อมนุษย์
4. ให้เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกผิวพรรณวรรณะ เพราะคนที่แบ่งแยกผิวพรรณ เรื่องของเชื้อชาติ
แต่ความจริงศักยภาพความเป็นคนของเราไม่ได้อยู่ที่ผิวพรรณหรือเชื้อชาติ แต่อยู่ที่การกระทำและเจตนาที่แสดงออกมา นั่นแหละคือความสามารถที่แท้จริงของเขา
ไม่เหยียดหยามกันเพราะศาสนา
ใครจะเกิดในตระกูลต่ำสูงอย่างไรก็ตามถ้าทำดีก็เป็นคนดี ถ้าทำความชั่วก็เป็นคนชั่ว ดังในสุนทริกสูตร
ว่า “ไฟย่อมเกิดได้จากไม้ทุกชนิด ผู้รู้แม้เกิดในตระกูลต่ำ แต่เป็นผู้มีความพากเพียร
เป็นผู้กันความชั่วด้วยความละอาย มีสัตย์ ฝึกตน ก็เป็นคนอาชาไนยได้”
5. ยอมรับข้อดีของแต่ละศาสนา คือเรามองกันในแง่ดี พิจารณาข้อที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
ร่วมกันจรรโลงสังคม
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมามัวทะเลาะกันเรื่องศาสนา
แต่เราทุกศาสนาควรจะมองถึงปัญหาสังคมมีอยู่ในปัจจุบัน เช่นปัญหายาเสพติด
อันเป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงทุกสถาบันในสังคมทำอย่างไรจะนำหลักธรรมทางศาสนามาปลดปล่อยให้เยาวชนของเราที่ตกเป็นทาสยาเสพติดได้ ทั้งฝ่ายเทวนิยมและอเทวนิยมโดยมีหลักอยู่ 4
ประการคือ
-
มีความจริงใจไมตรีจิตจะให้สัตว์ทั้งปวงมีสุขถ้วนหน้า
-
มีความเอ็นดูสงสารและความตั้งใจจริงที่จะช่วยให้พ้นทุกข์
-
พลอยยินดีและร่วมเป็นแรงกายแรงใจ ไม่อิจฉาริษยากัน
-
วางใจเป็นกลางในการทำงานร่วมกัน
6. เผยแผ่ศาสนาอย่างถูกต้อง คือไม่ไปแย่งชิงศาสนิกของศาสนาอื่น โดยวิธีการบังคับ ขู่เข็ญ และแบบมีเล่ห์เพทุบายก็หมายความว่าศาสนาที่เสียศาสนิกไปย่อมเกิดความไม่พอใจ แต่ควรชี้ให้เขาเห็นข้อดีของศาสนาของเราจริง ๆ แต่ถ้าเป็นการเผยแผ่โดยเอาผลประโยชน์ทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ
ทางสังคมเข้ามาเป็นเหยื่อล่อก่อนไม่ควรกระทำเพราะไม่ใช่การประกาศอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการใช้เหยื่อล่อเหมือนล่อปลามาติดเบ็ด เท่ากับเป็นการหลอกลวงโดยตรง
7. ศาสนาเปรียบกับต้นไม้ ตามแนวของท่านศ.ดร.แสง
จันทร์งาม
ธรรมดาต้นไม้ย่อมมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนคือ
ราก เปรียบเหมือน ความเป็นมนุษย์
ลำต้น เปรียบเหมือน ความต้องการทางจิตวิญญาณ 5
ประการคือ ปรัชญา
ชีวิต ที่พึ่งอันประเสริฐ สิ่งสมบูรณ์ที่สุด ความดีและความสุขชั้นสูง
กิ่ง เปรียบเหมือน ศาสนาต่าง ๆ
นกทั้งหลาย เปรียบเหมือน ศาสนิกชน
ก่อนที่นกจะลงจับต้นไม้นั้น
มันจะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่ากิ่งไหนจะเหมาะสมขนาดตัวของมันนกตัวใหญ่จะจับที่กิ่งใหญ่ นกขนาดกลางจับกิ่งขนาดกลาง นกตัวน้อยจะจับกิ่งขนาดเล็ก
นกตัวใหญ่จะไม่เกิดความหยิ่งผยองในกิ่งใหญ่ของตน
และจะไม่หันไปดูถูกกิ่งเล็กของนกตัวอื่น
เพราะมันรู้ดีว่าไม่ว่าจะกิ่งใหญ่หรือเล็ก
ก็ล้วนมาจากลำต้นเดียวกัน
เป็นต้นไม้ต้นเดียวกันให้ประโยชน์ที่สำเร็จแก่นกทุกตัวอย่างเท่าเทียมกัน
มันก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
โลกทั้งผองพี่น้องกัน
แม้แตกต่าง ศาสนา
สามัคคี
ดังน้องพี่ มวลมิตร จิตรแจ่มใส
ขอก้าวไป มอบดวงใจ ให้ห่วงใย
ร่วมสร้างไทย ให้มีธรรม
ค้ำชูชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น